|
ที่มา ความหมาย
และพัฒนาการของหลักธรรมาภิบาล |
|
|
|
โลกในยุคโลกาภิวัฒน์กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อน
บทบาทของการเป็นบรรษัทภิบาล
และความรับผิดชอบต่อสังคมของกลุ่มบรรษัท และกิจการธุรกิจ (Good
Corporate and Corporate Social Responsibility)
มีความสำคัญมากขึ้นทั้งในแง่ของการเป็นแนวคิด กลไก
และเครื่องมือที่สำคัญของการพัฒนาองค์กรธุรกิจและการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างยั่งยืน
เช่น การใช้หลักธรรมาภิบาล
การผลิตสินค้าและบริการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
เป็นการสร้าง คุณค่า ให้กับองค์กรธุรกิจนอกจาก มูลค่า
ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจแล้วแนวคิดดังกล่าว
ยังสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาทางสังคมที่เต็มไปด้วย
ความเก่ง และ ความดี
ความรับผิดชอบต่อสังคมของบรรษัทและกิจการธุรกิจ (Corporate
Social Responsibility : CSR)
มุ่งเน้นให้องค์กรธุรกิจดำเนินกิจการทางธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรและสังคมโดยส่วนรวมเพื่อชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่
เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับชุมชน เป็นต้น
โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจที่องค์กรดำเนินการและเน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กร
เป็นการดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอก
ในอันที่จะส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข |
|
|

|
|
ฐานความคิดและที่มาของ
CSR
สร้างความตื่นตัวให้แก่บรรดากลุ่มธุรกิจและให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจ
CSR
ในองค์กรอย่างจริงจังมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคม
และสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาสังคม ซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับ CSR
ครั้งแรกเกิดจากการประชุมระดับโลกที่กรุงเดอจาเนโร
ประเทศบราซิล ในปี 2535
ได้มีการกล่าวถึงทิศทางใหม่ของการพัฒนาที่เรียกว่า
การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)
มีการเรียกร้องให้เกิดการพัฒนาที่เอาใจใส่ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
นอกเหนือจากการมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว
ต่อมาองค์กรความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ได้บรรจุเรื่อง CSR ไว้ในแนวทางปฏิบัติสำหรับวิสาหกิจ
ข้ามชาติในปี 2000 เสนอให้วิสาหกิจข้ามชาติคำนึงถึง CSR
ในองค์กรและติดต่อค้าขายและทำธุรกรรมกับเฉพาะคู่ค้าที่มี CSR
เช่นเดียวกัน ธุรกิจใดที่ไม่มี CSR อาทิ
การผลิตที่สร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม
การใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม ฯลฯ
จะไม่สามารถติดต่อค้าขายกับวิสาหกิจที่มีถิ่นฐานในประเทศสมาชิก
OECD ได้อีกต่อไปและในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1999 ในการประชุม
World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ (Mr.Kofi Annan)
ได้เรียกร้องให้ธุรกิจแสดงความเป็นพลเมืองที่ดีของโลก (Good
Global Citizenship) ในทุกที่และในทุกประเทศที่ตนทำมาหากินอยู่
ด้วยการเคารพต่อหลักต่างๆ
ที่เป็นข้อตกลงนานาชาติในเรื่องสิทธิมนุษยชน
เรื่องมาตรฐานแรงงานและเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยได้เสนอบัญญัติ 9
ประการ เรียกกันว่า The Global Compact หรือ The UN Global
Compact และต่อมาได้เพิ่มเป็นบัญญัติ 10 ประการ สำหรับธุรกิจ
ซึ่งต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2000
ได้มีประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก
The UN Global compact นี้
มีลักษณะเป็นกรอบที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยความเป็นพลเมืองดีของธุรกิจที่มีผู้นำที่สร้างสรรค์
และยอมรับพันธะสัญญาของ Global Compact ด้วยความสมัครใจ
ซึ่งธนาคารโลกและธนาคารเพื่อพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian
Development Bank = ADB)
ก็ได้นำหลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมมาเป็นเงื่อนไขในการปล่อยกู้แทนประเด็นตามหลักประชาธิปไตย
ซึ่งหลักธรรมาภิบาลดังกล่าว ประกอบด้วยลักษณะที่สำคัญ คือ
การบริหารจัดการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ การตรวจสอบได้
(accountability) ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ
และการมีกรอบกฎหมายสำหรับการพัฒนา
ซึ่งธนาคารโลกได้แยกหลักธรรมาภิบาลออกจาก
แนวคิดประชาธิปไตย
โดยเน้นในเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
แต่ถือว่าหลักธรรมาภิบาลกับหลักประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ไปด้วยกัน
เนื่องจากลักษณะหลายอย่างของธรรมาภิบาล เช่น ความรับผิดชอบ
และความ
โปร่งใส ซึ่งรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณะ
และการถูกตรวจสอบโดยสาธารณะเป็นเงื่อนไขสำคัญของประชาธิปไตย
และเป็นส่วนสำคัญของการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา
และการส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ควรจะมีจิตสำนึกต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมและถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการปล่อยเงินกู้ให้แก่ประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน
จากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International
Monetary Fund : IMF)
โดยกำหนดเงื่อนไขให้ประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจะต้องสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้น
และมีการดำเนินการตามนโยบายสาธารณะที่ได้ตกลงไว้ในสัญญารับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเคร่งครัด
จะช่วยให้ประเทศที่ประสบปัญหาสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้กลับสู่เสถียรภาพได้อย่างรวดเร็ว
และในระยะยาวสังคมที่มีธรรมาภิบาลจะเป็นสังคมที่มีความเข้มแข็ง
มั่นคง
มีความสมดุลในการบริหารบ้านเมืองและมีภูมิคุ้มกันวิกฤตที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
(ซึ่งไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก
IMF และ ADB)
และกลายเป็นมาตรฐานสากลที่องค์การสหประชาชาติต้องการให้เกิดขึ้นในระบบบริหารจัดการภาครัฐด้วย |
|
|
|
|
หลักธรรมาภิบาลสากล |
|
United Nations Economic and Social Commission
for Asia and the Pacific : UNESCAP ได้ให้นิยามคำว่า
ธรรมาภิบาล (Good Governance) ว่ามีองค์ประกอบ 8
ประการ ดังนี้ การมีส่วนร่วม (Participation) นิติธรรม (Rule
of Law) ความโปร่งใส (Transparency)
การตอบสนอง (Responsiveness) การมุ่งเน้นฉันทามติ (Consensus
Oriented)
ความเสมอภาค/ความเที่ยงธรรมและไม่ละเลยบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดออกไปจากสังคม
(Equity and Inclusiveness) ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(Effectiveness and Efficiency) และภาระรับผิดชอบ
(Accountability) ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 United Nations
Development Programme : UNDP
ได้ทบทวนและให้นิยามใหม่ว่าเป็นเรื่องของการใช้อำนาจทางการเมือง
เศรษฐกิจ และการบริหารราชการแผ่นดิน
เพื่อจัดการกิจการของประเทศชาติบ้านเมือง
รวมทั้งยังได้กำหนดคุณลักษณะของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือธรรมาภิบาลซึ่งได้นำเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนามนุษย์เข้ามารวมไว้ด้วย
รวม 9 ประการ ดังนี้
1.
การมีส่วนร่วม (Participation)
ชายและหญิงทุกคนควรมีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจทั้งโดยทางตรงหรือผ่านทางสถาบันตัวแทนอันชอบธรรมของตน
ทั้งนี้
การมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างนั้นต้องตั้งอิงอยู่บนพื้นฐานของการมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงความคิดเห็น
รวมถึงการสามารถเข้ามีส่วนร่วมอย่างมีเหตุผลในเชิงสร้างสรรค์
2.
นิติธรรม (Rule of Law)
กรอบตัวบทกฎหมายต้องมีความเป็นธรรม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสิทธิมนุษยชน
3.
ความโปร่งใส (Transparency)
ต้องอยู่บนพื้นฐานของการไหลเวียนอย่างเสรีของข้อมูลข่าวสาร
บุคคลที่มีความสนใจเกี่ยวข้องจะต้องสามารถเข้าถึงสถาบัน
กระบวนการ และข้อมูลข่าวสารได้โดยตรง
ทั้งนี้การได้รับข้อมูลข่าวสารดังกล่าวนั้นต้องมีความเพียงพอต่อการทำความเข้าใจและการติดตามประเมินสถานการณ์
4.
การตอบสนอง (Responsiveness)
สถาบันและกระบวนการดำเนินงานต้องพยายามดูแลเอาใจใส่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
5.
การมุ่งเน้นฉันทามติ (Consensus-Oriented)
มีการประสานความแตกต่างในผลประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ
เพื่อหาข้อยุติร่วมกันอันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายและกระบวนการขั้นตอนใดๆ
ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6.
ความเสมอภาค/ความเที่ยงธรรม (Equity)
ชายและหญิงทุกคนต้องมีโอกาสในการปรับปรุงสถานะหรือรักษาระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตน
7.
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Effectiveness and Efficiency)
สถาบันและกระบวนการต้องสร้างผลสัมฤทธิ์ที่ตรงต่อความต้องการ
และขณะเดียวกันก็ต้องใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
8.
ภาระรับผิดชอบ (Accountability)
ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐ ภาคเอกชน
และองค์กรภาคประชาสังคมก็ตาม
ต้องมีภาระรับผิดชอบต่อสาธารณชนทั่วไปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสถาบันของตน
9.
วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Vision) ผู้นำและบรรดาสาธารณชนต้องมีมุมมองที่เปิดกว้างและเล็งการณ์ไกลเกี่ยวกับการบริหารกิจการบ้านเมืองและการพัฒนามนุษย์
(สังคม)
รวมถึงมีจิตสำนึกว่าอะไรคือความต้องการจำเป็นต่อการพัฒนาดังกล่าว
ตลอดจนมีความเข้าใจในความสลับซับซ้อนของบริบททางประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม และสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในแต่ละประเด็นนั้น |
|
|
|